สวัสดีค่ะ ผู้อ่านที่น่ารักทุกท่าน กลับมาพบกับการรีวิวหนังสยองขวัญอีกแล้วนะคะ ในบทความนี้ ผู้เขียนจะมารีวิวหนังเรื่อง The BoogeyMan เดอะ บูกี้แมน หนังชนโรง หนังที่มาพร้อมกับความมืดและฝันร้ายในวัยเด็ก มันซ่อนตัวอยู่ในเงามืดเพื่อรอเวลา มาเอาตัวคุณไป
หนังเรื่องนี้ไม่เหมาะกับคนที่กลัวความมืด และคนที่ขวัญอ่อน ถ้าหากคุณกลัวความมืดมากๆแล้วนั้น หนังเลยนี้อาจจะทำให้คุณหัวใจวายกันได้เลย (เวอร์ไปไหมอ่า 5555)
หนังเรื่องนี้เล่นกับความมืดเป็นหลัก เราเลยมาเตือนก่อนว่ามันไม่เหมาะกับคนที่กลัวความมืด และอะไรที่โผล่มาจากข้างหลัง เราเตือนคุณแล้วนะ
ความน่ากลัวและความน่าสนใจในหนังเรื่องนี้ มันจะมีอะไรบ้าง ผู้เขียนอาสามารีวิวให้ได้อ่านกันอีกเหมือนเดิมนะคะ ถ้าพร้อมแล้วไปอ่านรีวิวที่ด้านล่างกันได้เลยค่ะ ระทึกขวัญเอเชีย
รีวิวหนัง The BoogeyMan เดอะ บูกี้แมน ตำนานฝันร้าย ที่ไม่ได้แปลกใหม่อะไร
หนังสยองขวัญสุดระทึกเรื่องล่าสุดที่อ้างอิงมาจากนิยายสั้นขายดีของเจ้าพ่อหนังสยองขวัญ สตีเวน คิง ที่จะเล่าถึงเรื่องราวของสิ่งที่เหนือธรรมชาติอันน่าสะพรึง ที่คอยหลอกหลอนครอบครัวที่ตกเป็นเหยื่อให้ตกอยู่ในความทุกข์ทรมานที่เป็นของผู้กำกับอย่าง ร็อบ ซาเวจ ผู้ที่เคยกำกับหนังระทึกขวัญอย่าง Host
มันน่ากลัวและหลอนมาก แค่เปิดเรื่องนี้ก็ทำให้ผู้ชมตื่นเต้นได้แล้ว โดยเฉพาะถ้าเป็นเรื่องสั้นจากเจ้าพ่อสยองขวัญอย่าง Steven King รับรองว่าหนังเรื่องนี้จะน่ากลัวอย่างแน่นอน หนังจัดเต็มความหลอนตั้งแต่ต้นเรื่อง ยันจบเรื่องเลย
และฉากหลังคือบ้านของตัวเองซึ่งคับแคบมาก ยิ่งเพิ่มความทุกข์ก็ยิ่งดี และด้วยบรรยากาศที่น่าทึ่งนั่นคือสิ่งที่หนังเรื่องนี้ทำได้ดีมาก จังหวะจั้มพ์สแกร์ ก็ต้องบอกว่า ทำมาเป๊ะมากๆ
ไม่ว่าเราจะตั้งตารอ จับจังหวะไว้แค่ไหนก็หนีไม่พ้นจริงๆ เพราะสัตว์ประหลาดเหล่านั้นจะปรากฏขึ้นเมื่อคุณคาดหวังน้อยที่สุด แต่ตามโครงเรื่องแล้ว
หนังไม่ได้บอกที่มาของสัตว์ประหลาดเลย คงจะดีถ้าหนังบอกสักหน่อยว่าที่มาที่ไปของปีศาจมาจากไหน เมื่อดูไปได้สักระยะ
ปรากฎว่าภาพยนตร์เรื่องนี้เน้นไปที่การขายสยองขวัญเพียงอย่างเดียว โดยเฉพาะถ้าใครกลัวความมืดอยู่แล้ว ฉันไม่แนะนำเลยเพราะหนังเรื่องนี้ส่วนใหญ่จะมืด
โดยเฉพาะฉากนั้นในห้องหมอคนนั้น มันน่ากลัวจริงๆ อีกฉากที่อยากให้ดูคือในบ้านตอนกลางคืน ฉากนี้บอกเลยว่าไม่ควรพลาด
ภาพยนตร์เรื่องนี้ติดตามเรื่องเลวร้ายที่เลสเตอร์บอกกับวิล ทุกอย่างกำลังจะเกิดขึ้นกับครอบครัวเล็กๆ ของเขา และทุกอย่างเริ่มต้นจากที่นั่น หนังเริ่มเล่าถึงสิ่งที่สมาชิกทั้ง 3 คนในบ้านต้องเผชิญ แนวทางของหนังเรื่องนี้คือการเล่นกับสถานที่มืดๆ เสียงและดนตรีใช้จังหวะเวลาที่แม่นยำเพื่อสร้างฉากที่น่าขนลุกให้กับผู้ชม
สำหรับใครที่กลัวผี หลายๆ โมเมนต์จะเป็นแบบ Jump Scare ที่ทำให้คุณสะดุ้งเลยทีเดียว นี่คือภาพยนตร์ที่สมบูรณ์แบบสำหรับโรงละครมืด และจับมือกันสัมผัสประสบการณ์สยองขวัญโดยใช้เทคนิคการมองเห็นเพื่อให้ผู้ชมได้สัมผัสถึงสิ่งที่ตัวละครต้องเผชิญ แต่พยายามทำให้ผู้ชมรู้สึกว่าเรากำลังผ่านมันมาด้วยตัวเอง
ขอบอกไว้เลยว่าหนังเรื่องนี้ เล่นกับความมืดแล้วส้รางความหลอน ได้ดีมากๆ หลอนชนิดที่ว่าเราดู นอนไม่หลับเลยทีเดียว
เกิดอะไรขึ้นกับผู้กำกับ Rob Savage งานดูและรู้สึกเรียบง่าย ไม่ดูหวือหวาเท่ากับผลงานของเขาเก่าๆ อย่าง Host หรือ Dashcam และเป็นหนังสยองขวัญที่น่าดึงดูดมากกว่า The Boogeyman แต่แลกกับความจริงที่ว่าภาพยนตร์เรื่องนี้เรียบง่ายและเข้าถึงได้ ความบันเทิงที่แท้จริงนำเสนอโดยไม่ต้องคิดมาก
หรืออาจจะเป็นเพราะหนังเรื่องนี้ มันเป็นไปตามการเล่าเรื่องเรื่องสั้นของ Stephen King เราไม่มีทางรู้เรื่องนี้ได้ แต่สิ่งที่แน่นอนก็คือภาพยนตร์เรื่องนี้มีกลิ่นอายของความลึกลับ อำนาจของครอบครัว ความสูญเสีย ความเสียใจ ไปจนถึงสภาพจิตใจของตัวละครแต่ละตัว ที่ไม่ยอมพูดตรง ๆ… นี่จะเห็นลายเซ็นผู้เขียนต้นฉบับได้ชัดเจน
เรื่องย่อ
ซาดี้ ฮาปเปอร์ และ ซอว์เยอร์ ฮาปเปอร์ สองพี่น้องที่ยังทำใจ จากการสูญเสียแม่ไปไม่ได้ เพราะพวกเธอสูญเสียแม่ไปแบบกระทันหัน แถม วิล ผู้เป็นพ่อทำงานเป็นนักจิตวิทยาบำบัด ก็ไม่ได้ให้ความช่วยเหลือแก่พวกเธอดีมากนัก เพราะพ่อก็ยังรับมือกับการสูญเสียคนรักไปไม่ได้เหมือนกัน
วันหนึ่งมีชายแปลกหน้าคนหนึ่ง เข้ามาขอรับการบำบัดกับวิล ที่บ้าน แต่สิ่งที่เขาทิ้งไว้ก่อนที่จะจากไป ทำเอาสามคนพ่อลูกไม่มีชีวิตที่สงบเหมือนเคยเลย เพราะในทุกๆคืน ซอว์เยอร์ ลูกสาวคนเล็กมักจะได้ยินเสียงอะไรแปลกๆ และมีบางสิ่งบางอย่างซ่อนตัวอยู่ในเงามืด รอเวลาที่จะออกมาลากพวกเธอไปทีละคน ความน่ากลัวและเรื่องราวจะเป็นอย่างไรต่อ ต้องไปติดตามกันต่อเองนะคะ
การดำเนินเรื่อง
ลูกสาวสองคนเพิ่งสูญเสียแม่ไปจากอุบัติเหตุ แต่ยังยอมรับเรื่องนี้ไม่ได้ ไม่ต่างจากวิล ตัวเขาเองได้สูญเสียภรรยาของเขาไปแล้ว
แต่ในฐานะพ่อและนักบำบัด เขาต้องระงับความเศร้าโศก ซาดีน่าจะโตพอที่จะดูแลตัวเองได้ แต่ซอว์เยอร์ยังเด็กอยู่ เด็กที่ยังกลัวสัตว์ประหลาดอยู่ในตู้เสื้อผ้าและใต้เตียงต้องนอนกับพระจันทร์ เขายังคงต้องสนับสนุนจิตวิญญาณของเธอ
หนังเรื่องยังคงดำเนินเรื่องตามสูตรสำเร็จของหนังสยองขวัญฝั่งอเมริกัน ถ้าได้ดูแล้วเนี่ยจังหวะและการเล่าเรื่องไม่ได้มีอะไรที่แปลกใหม่ หรือแตกต่างจากเรื่องอื่นๆ ในหนังแนวเดียวกันเลย หนังเรื่องนี้เป็นไปตามรูปแบบของหนังผีที่น่ากลัวมาก
เขาใช้บริการของผู้กำกับดาวรุ่งเพื่อลิ้มรสความสยองขวัญแบบเดียวกับที่เราเคยดูมาก่อน “Rob Savage” ผู้กำกับซีรีส์และภาพยนตร์สยองขวัญทุนต่ำหลายเรื่อง เขารู้ว่าจะทำอย่างไรกับหนังเรื่องนี้
โดยสร้างบรรยากาศให้หลอนและน่ากลัว นอกจากนี้ยังสามารถรักษางบประมาณของภาพยนตร์เรื่องนี้ให้อยู่ในระดับที่ทีมผู้บริหารพอใจอีกด้วย การสร้างอารมณ์ของหนังเน้นไปที่ภาพที่มีแสงน้อย เพราะตลอดทั้งเรื่องคุณต้องเล่นกับแสงและไฟ เรื่องนี้ทำให้ฉันประทับใจและรำคาญในเวลาเดียวกันเพราะหนังพยายามสร้างอารมณ์ในความมืด
แม้ว่าจะเป็นช่วงเวลาที่มีประโยชน์ แต่บางฉากก็มืดเกินความจำเป็น มันมืดจนแทบจะมองไม่เห็นรายละเอียดของเหตุการณ์ที่บางครั้งกำลังเปิดเผยอยู่ แน่นอนว่าสำหรับภาพยนตร์สไตล์นี้พวกเขามักจะใช้บริการของนักแสดงหน้าใหม่และยังไม่เป็นที่รู้จัก
และคิดว่านักแสดงของหนังเรื่องนี้ค่อนข้างดี โดยเฉพาะ “โซฟี แททเชอร์” ที่มีเสน่ห์มากในหนังเรื่องนี้ กล้องรักเธอ แม้ในที่แสงน้อย
แต่ความเป็นเอกลักษณ์และทักษะการแสดงของเธอได้รับการถ่ายทอดได้ดีเมื่ออยู่หน้ากล้อง แม้ว่าประสบการณ์การแสดงของฉันต้องได้รับการปรับปรุงเพิ่มเติม ฉันเชื่อว่าหญิงสาวคนนี้จะมีอนาคตอันยาวนานในฮอลลีวูด
อีกสิ่งหนึ่งที่ไม่อาจเอ่ยถึงได้คือ “วิเวียน ไลรา แบลร์” ดาราเด็กคนนี้ก็มีบทบาทสำคัญมากเช่นกัน แม้ว่าเธอจะไม่ค่อยมีประสบการณ์ด้านการแสดงมากนัก
แต่มันก็เป็นองค์ประกอบเสริมในการแสดงพฤติกรรมที่เป็นธรรมชาติและไร้เดียงสาในเวลาที่เหมาะสม ให้ผู้ชมสนุกกับการไล่ล่าและหนีผีไปกับนักแสดงที่รับบทเป็นสองพี่น้อง
แต่การจะดูหนังเรื่องนี้อาจจะต้องดูบนจอที่สามารถเก็บรายละเอียดของภาพเอาไว้ได้ชัดหน่อยนะ เพราะด้วยความที่หนังมาค่อนข้างมืดเลย ฉากที่เล่นอยู่กับความมืดเราอาจจะมองภาพไม่ค่อยชัดเจนเท่าไหร่
ข้อดีและข้อด้อย ของหนังเรื่องนี้
ข้อดีข้อแรกเลยคือการออกแบบแสง และบรรยกาศของเรื่อง เมื่อบูกี้แมนที่เรารู้จักกันมักเป็นฝันร้ายยามค่ำคืนของใครหลายๆคน
ถูกนำเสนอให้อยู่ในรูปแบบของปีศาจที่ชื่ชอบความมืด แถมทำออกมาได้ค่อนข้างหลอนและน่ากลัวมากอีกด้วย ข้อดีข้อถัดมาคือการดำเนินเรื่องฉับไว ต้องขอบอกก่อนว่าถ้าเอาหนังเรื่องนี้มากางดูแล้วเนี่ย
ทั้งพล็ตเรื่องและตัวบทยังอ่อนมากๆ ถ้าเทียบกับความเป็นหนังสยองขวัญ แต่ทดแทนส่วนนี้ด้วยงานภาพและการออกแบบจังหวะการเล่าเรื่อง ทำให้เนื้อเรื่องมันดูมีอะไรขึ้นมาบ้าง เราจะชอบความน่าสะพรึงกลัวที่มองไม่เห็นเหล่านั้น
แต่มักจะมาพร้อมกับเสียงในความมืด มุมกล้อง + กระโดดตกใจ และบทสนทนา คำพูดของตัวละคร สิ่งนี้ทำให้เราเชื่อว่าสัตว์ประหลาดนั้นน่ากลัว ถึงแม้จะไม่ค่อยเห็นชัดนักก็ตาม
ในส่วนของข้อด้อยก็มีอยู่ไม่น้อย อย่างแรกเลยคือตัว บูกี้แมน หนังไม่ได้บอกถึงที่มาที่ไปของมันเลย ไม่ได้ให้ข้อมูลกับคนดูเท่าไหร่ สองพอหนังเลือกที่จะเล่นกับความมืดแล้วนั้น มันกลายเป็นมืดจนเกือบมองไม่เห็นอะไร บ่างฉากเนี่ยนั่งดูจนปวดตา เพราะต้องคอยเพ่งสายตาอยู่ตลอดเวลา
รีวิวหนัง The BoogeyMan เดอะ บูกี้แมน ความประทับใจในหนังเรื่องนี้
สำหรับเรื่องนี้สิ่งที่เราประทับใจสุดๆ ก็คงหนีไม่พ้นการออกแบบ บรรยกาศและความน่ากลัวของเรื่อง ทั้งความมืด และตัวบูกี้แมนเองก็ดี เราจะไม่ได้เห็นตัวและโฉมหน้าของปีศาจ บูกี้แมนแบบชัดๆ
เป็นการตัดไปตัดมาแต่พอมีช่วงเวลาให้สายตาเราโฟกัสกับรูปลักษณ์ของมัน ก็น่ากลัวใช่ได้เลย แต่สิ่งที่น่ากลัวกว่าบูกี้แมน ก็เห็นจะเปนความมืดของหนังเนี่ยแหละ มันเหมือนดาบสองคมเหมือนกันนะ
ด้านหนึ่งก็สร้างความกลัวจากที่มืดๆ ได้ดี อีกด้านก็แบบมืดเกิน มืดจนมองเกือบไม่เห็นแล้วอะ ก็ถือว่านี่เป็นหนังสยองขวัญที่ค่อนข้างอยู่ในเซฟโซนเดิมๆ หนังเรื่องนี้มีจังหวะและการเล่าเรื่องที่น่าสนใจ มันนุ่มนวลและเหมาะสมที่จะสร้างบรรยากาศอันน่าจดจำมากมาย
เรื่องราวทั้งหมดไม่น่าเบื่อ ถูกต้องทั้งประเด็นหลักและรอง เพียงแต่ยังขาดความสดใหม่ เพราะเราเคยดูหนังแบบนี้มาแล้ว เพราะหนังแบบนี้มีให้ดูมาไม่รู้กี่ร้อยเรื่องแล้ว นี่ไม่ใช่เรื่องใหม่ เป็นหนังสยองขวัญที่ดูแล้วจบไปเท่านั้น ไม่ต้องมานั่งค้างคาใจอะไรเลย
ความรู้สึกหลังรับชม และการให้คะแนนเรื่องจากผู้เขียน
หนังสยองขวัญสุดระทึกเรื่องล่าสุดที่อ้างอิงมาจากนิยายสั้นขายดีของเจ้าพ่อหนังสยองขวัญ สตีเวน คิง ที่จะเล่าถึงเรื่องราวของสิ่งที่เหนือธรรมชาติอันน่าสะพรึง ที่คอยหลอกหลอนครอบครัวที่ตกเป็นเหยื่อให้ตกอยู่ในความทุกข์ทรมานที่เป็นของผู้กำกับอย่าง ร็อบ ซาเวจ ผู้ที่เคยกำกับหนังระทึกขวัญอย่าง Host
ก็ถือว่าเป็นหนังสยองขวัญ ที่มีความน่ากลัว และบรรยกาศในเรื่องก็เฉพาะตัวเอามากๆ หนังเรื่องนี้น่าจะไม่เหมาะกับคนที่กลัวความมืด หรือหนังที่จัมพ์สะแกหนักๆ อาจจะสะดุ้งจนดูไม่รู้เรื่องก็ได้ สำหรับเรื่องนี้เราให้คะแนนที่ 7/10 ก็เป็นหนังสยองขวัญที่ดูง่าย พล็อตเรื่องไม่ได้ซับซ้อนมากอะไร
หนังเล่นกับความมืดและความน่ากลัวของ ภาพยนตร์ระทึกขวัญเรื่องล่าสุดที่ดัดแปลงมาจากเรื่องสั้นของ Steven King เน้นการขายแต่ความตื่นเต้น แม้ว่าเรื่องราวจะไม่ได้เปิดเผยถึงที่มามากนัก แต่มันก็สนุกจริงๆที่ได้ดูและเล่นกับผู้ชม นอกจากนี้ยังเต็มไปด้วยฉากที่น่าตกใจอีกด้วย ขอเตือนอีกครั้งว่าหนังเรื่องนี้ไม่เหมาะกับ คนขวัญอ่อน และคนที่กลัวความมืด เราเตือนแล้วนะ