สวัสดีเพื่อน ๆ ทุกคน ก่อนอื่นผู้เขียนก็อยากจะต้องบอกก่อนว่า ตัวผู้เขียนนั้นได้ติดตามภาพยนตร์แฟรนไชส์นี้ตั้งแต่ภาคแรก เพราะเราชอบหนังสยองขวัญแบบนี้เป็นพิเศษอยู่แล้ว เลยอดใจไม่ไหวที่จะมา รีวิวหนัง Insidious The Red Door ให้กับเพื่อน ๆ ผู้อ่านที่รักทุกคนเลย

โดยหนังสยองขวัญภาคที่ 5 ของหนังชุด “อินซิเดียส” ยังคงมีความเชื่อมโยงและเชื่อมต่อกับภาคก่อนหน้า ถึงแม้ว่าองค์ประกอบหลายอย่างจะเปลี่ยนแปลงไป แต่ความเข้มข้นของความหลอนยังคงไว้ได้เช่นเคย

ซึ่งเรื่องราวในภาพยนตร์เรื่องนี้จะเป็นอย่างไร เราอยากเชิญชวนเพื่อน ๆ ให้ลองไปดูกัน หรือ ลองอ่านรีวิวที่ด่านล่างของเรานี้ได้เลย ช่องทางการรับชม  ดูหนังออนไลน์ 4k

Insidious: The Red Door วิญญาณตามติด ประตูผีผ่าน เรื่องย่อ เป็นจบเรื่องของครอบครัวแลมเบิร์ต ที่ต้องพบกับเหล่าปีศาจ และต้องส่งเหล่านั้นกลับไปยังหลุมของพวกเขา

เรื่องราวเริ่มต้นเมื่อจอชและดัลตันต้องลงไปในโลกวิญญาณให้ลึกมากยิ่งขึ้น เพื่อเผชิญหน้ากับครอบครัว และพบกับความสยองขวัญครั้งใหม่ที่ซ่อนอยู่หลังประตูผีผ่าน

ในภาคนี้ภาพยนตร์มีความหวาดกลัวสร้างความตื่นเต้นให้กับผู้ชมอย่างมาก ฉากตุ๊งแช่ที่สุดสะใจมีความแปลกใหม่และน่าขนลุก 

แต่ในส่วนอื่นของเรื่องภาพยนตร์นั้นตัวผู้กำกับเน้นความสัมพันธ์ระหว่างพ่อ-ลูกมากกว่า พล็อตของภาพยนตร์ไม่มีอะไรที่น่าตื่นเต้นเท่าไรเกี่ยวกับการถอดจิตสักเท่าไร 

แม้กระทั่งการช่วยลูกในมิติลึกลับเพียงเท่านั้น แต่ฉากตุ๊งแช่ของภาพยนตร์นี้ทำได้ดีมากๆ ฉากเต็มไปด้วยอลังการที่เล่นเนียนเป็นกำลังใจ 

ฉากที่ตัวลูกเข้าเครื่องสแกน MRI นั้นเกลือว่าหลอนและระทึกมาก ฉากดังกล่าวทำให้ผู้ชมต้องสะดุ้งได้อย่างแน่นอน 

อีกฉากที่มีความยอดเยี่ยมเช่นเดียวกันคือฉากของดัลตันในห้องนอน ฉากนี้ทำให้ผู้กำกับสะดุ้งและสั่นไหวพร้อมกับฉากนี้ แม้กระทั่งฉากตุ๊งแช่ของภาพยนตร์นี้มีแค่ 4-5 ฉากเท่านั้น 

ส่วนอื่นของเรื่องนั้นน่าสนใจนั้นก็คือ การที่หนังเน้นความรู้สึกที่สัมพันธ์ระหว่างพ่อกับลูกมากกว่า

รีวิวหนังระทึกขวัญ ตัวละครส่วนใหญ่ยังคงซ้ำกันภายในภาคต่าง ๆ ของเรื่อง เรื่องราวที่เกิดขึ้นยังคงมีความคล้ายคลึงกันและการแสดงบางส่วนยังคงไม่แตกต่างมากนัก 

ถ้าถามว่ามีความแตกต่างไปจากเดิมไหม ก็ขอบอกเลยว่า ไม่ การดำเนินเรื่องหลัก ๆ ก็ไม่ได้ฉีกไปจากเดิมเท่าไรนัก ขายฉากตุ้งแช่ได้สมกับที่เป็น Insidios ยังคงทำให้สะดุ้งตัวโยนได้เหมือนเดิมแต่คิดว่าน้อยลงกว่าภาคก่อน ๆ

เสียงประกอบก็เป็นเอกลักษณ์ของเขาเลย ตัวภาพยนตร์ก็ยังคงเล่นกับความมืดและฉากที่ชวนให้ลุ้นว่าจะมีอะไรโผล่มา แต่ก็ไม่มี 

แต่ก็มีอยู่ช่วงนึงที่เล่นกับที่แคบได้ชวนอึดอัดสุด ๆ อยู่เหมือนกัน และแน่นอนว่า ในภาคที่ 5 นี้ ตัวหนังไม่ได้ขายแต่ฉากจั้มสแกร์ ตุ้งแช่กันอย่างเดียว 

มีการเน้นเรื่องราวของครอบครัวค่อนข้างมาก มีการขยี้ความสัมพันธ์ของจอชและดัลตั้นในเรื่องของความทรงจำในช่วงโคม่าที่ขาดหายไป 

ช่วงนี้เราน้ำตาซึมไปเรียบร้อย ดูจบออกมาแล้วก็มีแอบหน่วง ๆ ในใจอยู่นิดนึง นักแสดงก็เป็นชุดเดิม บอกเลยว่าแอบรู้สึกผูกพันอยู่ลึก ๆ

ส่วนตัวเราเองคิดว่าภาพยนตร์ Insidious ในเรื่องราวของครอบครัวแลมเบิร์ตจบไปตั้งแต่ภาคที่ 2 แล้ว ภาคที่ 3 – 4 

เป็นเรื่องราวของป้าเอลิซและไม่เกี่ยวข้องกับครอบครัวแลมเบิร์ต ถึงแม้ว่าภาคต่ออาจจะมีมา แต่อาจเป็นเคสอื่น ๆ ของป้าเอลิซและทีมงานมากกว่า

จะกลับมาที่ครอบครัวเดิม แต่ถือว่าเป็นการจบฉากไปโดยสมบูรณ์ ยกเว้นว่าถ้าทีมงานเลือกที่จะกลับมาทำต่ออีก อาจจะให้ผีหน้าแดงกลับมา เมื่ออยู่ในเขตแดนของเจ้าผีตัวนี้ พลังดันกลับไม่ได้ดูน่ากลัว ไม่มีความสมดุลย์เท่าเดิมที่มีในภาคแรก ซึ่งน่าเสียดายมาก

สำหรับตัวเราหลังจากดู Insidious: The Red Door สปอย จบแล้วนั้นขอบอกเลยว่า หนังเรื่องนี้ยังมีอีกหลายจุดที่ทำให้เสียดาย อย่างเช่นไม่สามารถเล่าเรื่องราวใหม่หรือส่งเสริมความสนุกได้มากพอ 

เนื้อเรื่องมีความซ้ำซ้อน และตัวละครไม่มีการพัฒนาอย่างเต็มที่ เพราะต้องการให้ผู้ชมรู้สึกว่าเวลาผ่านไปเร็วมาก นอกจากนี้ การสร้างความตื่นเต้นและคาแรกเตอร์

ในภาพยนตร์ยังไม่ได้บรรเทาเรื่องที่ล้มเหลวของเรื่องราว ทำให้ผู้ชมรู้สึกผิดหวัง

ถ้าคุณไม่เคยดูหนังชุดวิญญาณหรือภาคใด ๆ ก่อนหน้านี้ 

แต่ตัดสินใจดูภาคนี้ คุณอาจจะเข้าใจได้ แต่คุณจะรู้สึกสงสัยในหลาย ๆ เรื่อง นั่นเพราะว่ามีภาคก่อนหน้าที่เชื่อมโยงกับภาคนี้ โดยเฉพาะภาคที่สอง ผลลัพธ์ของภาคที่สองอาจทำให้คุณไม่เข้าใจมากพอ ถ้าคุณไม่มีพื้นฐานเรื่องวิญญาณและที่มาของหนังชุดนี้มาก่อน

แม้ว่าบทหนังเรื่องนี้ จะมีความอ่อนเกินไปในด้านต่าง ๆ แต่หนังก็ยังมีจุดแข็งในเรื่อง ของความพยายามที่จุดแข็ง ให้กับความเป็นหนังครอบครัวบนพื้นฐานของหนังสยองขวัญ 

รากฐานและภูมิหลัง ของตระกูลแลมเบิร์ตในหนังนี้ถูกปูเอาไว้ได้อย่างมั่นคงดู โดยเฉพาะการพาผู้ชมไปสำรวจรอยร้าวระหว่างคู่พ่อลูกที่เป็นจุดไฮไลต์เด่นของเรื่องนี้ กลายเป็นว่าคุณอาจจะเสียน้ำตาให้กับหนังสยองขวัญก็เป็นได้

ทีมนักแสดงที่เป็นผู้นำ มีความน่าเชื่อถือและมีความสามารถในการแสดงที่ดี โดยเฉพาะอักษรที่ทำให้คนได้รับรู้ถึงความดีของการแสดงของเขาอีกครั้ง 

พูดสั้นๆคือความสามารถในการแสดงของเขาในบทที่ต้องแตกต่างจากหนังสยองขยะของเขาในอดีต มีความคล้ายคลึงกันบางอย่างแต่ก็ไม่ใช่เหมือนกัน แต่เขาทำได้ดี

ส่วนในด้านของนักแสดง นั้นก็ทำออกมาได้ดีพอสมควร แต่พล็อตเรื่องของหนังดันไม่ส่งให้ตัวละคร นั้นให้มีความน่าสนใจเลย ถ้าเพิ่มเติมสิ่งที่มันแปลกใหม่เข้ามา ตัวหนังเรื่องนี้ก็จะออกมาดีมากๆในภาคนี้ของ Insidious: The Red Door ตัวละคร 

ขณะที่ “ไท ซิมป์กินส์” ที่กลับมาคราวนี้ น้องโตเป็นหนุ่มเต็มตัวไปแล้ว แน่นอนว่าบทหนังก็ต้องใส่พัฒนาการให้เขาไปด้วย กลายเป็นเด็กหนุ่มวัยเรียนมหาวิทยาลัย 

ที่ต้องยอมรับว่าเขาเก็บรายละเอียดจากบทบาทเดิมที่เคยแสดงเอาไว้เมื่อสิบปีก่อนได้ค่อนข้างน่าพอใจ แม้ว่าจะไม่จำเป็นต้องหยิบมาใช้เลยก็ตาม 

เพราะวัยของตัวละครได้เปลี่ยนไปแล้ว แต่ก็เขาถ่ายทอดออกมาได้ดี เพียงแค่พลังการแสดงอาจจะยังไม่ถึงขั้นที่แบกรับหนังเอาไว้เพียงลำพังได้

หนังสยองขวัญ Insidious: The Red Door ภาค5 เป็นเรื่องราวที่ต่อเนื่องจากภาคก่อนหน้า และภาคนี้ ได้ปิดตำนานภาพยนตร์ดังด้านความหลอนได้อย่างสุดท้าย ภาคนี้มีผลกระทบทางการเงินที่สูงมากๆ โดยถล่มทลายคาดหมายในหลายประเทศภูมิภาคเอเชียเป็นพิเศษ

– ฟิลิปปินส์กลายเป็นภาพยนตร์ที่ระทึกหลอนอย่างมากถึงขนาดที่สามารถทำรายได้สูงสุดในปี 2023

– อินโดนีเซียเป็นภาพยนตร์สยองขวัญที่เปิดตัวในยุคโควิดและได้รับความนิยมอย่างมาก โดยมีอันดับ 1 ในการสร้างรายได้จากภาพยนตร์สยองขวัญในปีนั้น

– อินเดียทำรายได้จากวงการบอลลีวูดมากกว่า 90 ล้านบาทและสร้างความสั่นสะเทือนต่อวงการนั่งเล่นบอล

– มาเลเซียสามารถสร้างรายได้มากถึง 71 ล้านบาทในระยะเวลา 4 สัปดาห์”

ภาพยนตร์ Insidious: The Red Door ในสิงคโปร์กลายเป็นภาพยนตร์สยองขวัญที่เปิดตัวในยุคโควิดและได้รับความนิยมสูงสุด

วันที่ผ่านมา (Insidious: The Red Door) เป็นภาพยนตร์สยองขวัญที่สร้างขึ้นโดยบลัม เฮาส์โปรดักชันส์และเจมส์ วาน 

ความเป็นจริงคือหนังเรื่องนี้มีฟีดแบ็คที่น่าสะพรึงกลัวเกินไปซึ่งก่อให้เกิดความเฮี้ยนและติดกระแสโลกโซเชียล 

ทำให้มีการรีวิวและสนทนาเกี่ยวกับหนังนี้มากขึ้น นอกจากนี้ยังมีการตลาดและการโฆษณาที่สร้างความสนใจอีกด้วย ทำให้ชื่อเรื่องหนังเป็นที่รู้จักมากขึ้นและมีผู้คนอยากได้ลองดูให้มากขึ้น ทำให้ทุกคนรู้สึกต้องเข้าไปดูเองในโรงภาพยนตร์

เมื่อดู Insidious: The Red Door ตอนจบ จบแล้ว ก็สรุปได้ว่าเป็นภาพยนตร์สยองขวัญที่กลับมาเป็นภาคต่อของแฟรนไชส์ Insidious ในยุค 2010s 

เนื้อเรื่องของหนัง “Insidious: The Red Door” ซึ่งคุณกำลังต้องการรีวิวนั้น อาจเป็นเรื่องสร้างความตื่นเต้นและระทึกขวัญ

ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของซีรีส์หนังสยองขวัญ “Insidious” ที่มีความนิยมในวงการหนังสยองขวัญอย่างกว้างขวาง โดยส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นในโลกของคนที่มีการติดต่อกับวิญญาณหรือภูมิภาคเงินของคนที่ตายแล้ว และเนื้อเรื่องในภาค “Insidious: The Red Door” นี้ก็เป็นเช่นกัน

ในส่วนของภาคจบนี้ ไม่ค่อยน่าตื่นเต้นเท่าที่คาดหวัง ไว้สักเท่าไหร่ที่ มีดีแค่ฉากสยองและความตุ้งแช่ ที่กลายเป็นที่เสียพลังไป 

ความเร้าใจและฉากฮอร์เรอร์ที่คาดไม่ถึงของภาค นี้อาจจะเป็นเหตุผลที่ทำให้คนชอบภาคอื่นๆ ของซีรีส์ “Insidious” ให้ความสนใจกับภาคนี้อย่างมาก และมีความพึงพอใจในการดูเป็นอย่างมาก

อย่างไรก็ตาม การรับชมหนังสยองขวัญนั้นมีส่วนบุคคลและซึ่งใช้บางทีอาจมีคนที่รักชอบและบางทีอาจไม่ชอบ ความเข้าใจและประสบการณ์ของแต่ละคนอาจทำให้มีความคิดต่างกันใน

การตีความเนื้อเรื่องและเสนอข้อเสนอแนะเกี่ยวกับหนัง “Insidious: The Red Door” นี้ ดังนั้น หากคุณสนใจในหมองหม่นและฮอร์เรอร์ แนะนำให้ทดลองรับชมเองเพื่อค้นพบประสบการณ์และความสนุกสนานในการดู

แทนที่จะอาศัยเรื่องราวครอบครัวที่น่าสนใจ มีองค์ประกอบที่ไม่ตรงต่อเนื่องเช่นเคย และยังขาดความสมบูรณ์ที่สำคัญอีกด้วย เกือบค่อนข้างน่าผิดหวังไปสักหน่อยในการคัมแบ็กครั้งนี้

หากเพื่อน ๆ คนไหนสนใจที่จะดูหนังไม่สะดุดดูซีรีส์ชัด เราขอแนะนำเว็บ ดูหนัง4k เราคัดหนัง ซีรีส์ คุณภาพมารวมไว้หมดแนะนำเลยค่ะ