1

รีวิว Mr. Harrigan's Phone

รีวิว Mr. Harrigan’s Phone Mr. Harrigan’s Phone คือหนึ่งในเรื่องสั้นจากหนังสือรวมเรื่องสั้นชื่อ ‘if it Bleeds’ ของ สตีเฟน คิง (Stephen King) ที่ตีพิมพ์ในปี 2020

ที่มีจุดเด่นในด้านของการวิพากษ์เทคโนโลยีและคุณค่าของวรรณกรรม ฉาบด้วยพล็อตไฮคอนเซ็ปต์อย่าง จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อมือถือของคนตายสามารถพิพากษาชีวิตของคนชั่วได้เพียงแค่โทรไปฝากคำขอมรณะไว้เท่านั้นเอง 

2

โดยเนื้อเรื่องของ ‘Mr. Harrigan’s Phone’ อยู่ที่ เคร็ก (รับบทโดย เจเดน มาร์เทลล์ Jaeden Martell) เด็กหนุ่มขี้เหงาที่รับจ๊อบอ่านหนังสือให้ คุณแฮริแกน (รับบทโดย โดนัลด์ ซูเธอร์แลนด์ Donald Sutherland) นักธุรกิจชราที่มักจะส่งล็อตเตอรี่เป็นของขวัญให้เคร็กจนกระทั่งเขาถูกรางวัลถึง 3,000 เหรียญจึงซื้อ iPhone ให้เป็นการตอบแทน แต่หลังจากนั้นไม่นานคุณแฮริแกนก็เสียชีวิต เคร็กจึงแอบใส่ iPhone ไว้ในโลงศพ 

และวันดีคืนดีหลังจากเคร็กฝากข้อความเสียงในมือถือของผู้ล่วงลับถึงคนที่มารังแกเขา รุ่งขึ้นเด็กอันธพาลคนนั้นก็กลายเป็นศพจากการฆ่าตัวตาย เคร็กต้องสืบให้ได้ว่ามีอำนาจเหนือธรรมชาติจากโทรศัพท์คนตายที่สามารถพิพากษาคนชั่วได้เพียงแค่โทรไปฝากข้อความจริงหรือไม่ 

รีวิว Mr. Harrigan's Phone เนื้อเรื่อง

เรื่องย่อและเทรลเลอร์ที่ถูกปล่อยออกมา หลายคนคงคาดหวังว่ามันจะต้องเป็นอีกหนึ่งภาพยนตร์สุดระทึกตามสไตล์ถนัดของ สตีเฟน คิง แต่เปล่าเลยเพราะหนังทั้งเรื่องที่ จอห์น ลี แฮนค็อก (John Lee Hancock)

คือหนังที่ว่าด้วยการตามหาที่ยึดเหนี่ยวของเด็กมัธยมที่สูญเสียแม่ของเขาไปอย่างเคร็กและได้คุณแฮริแกนเศรษฐีชราที่อาศัยให้เขาอ่านวรรณกรรมสุดคลาสสิกทั้ง ‘ ‘Lady Chatterlay’s Lover’ ‘Dombey and Son’ ‘Heart of Darkness’ ‘They Shoot Horses, Don’t They?’ ที่มาเกี่ยวพันกับชีวิตของเคร็กและคุณแฮริแกนทีละนิด ๆ

โดยเฉพาะในวรรณกรรมเรื่องหลังสุดที่แทบจะเป็นการบอกใบ้ถึงชะตากรรมของมิสเตอร์แฮริแกนอยู่กลาย ๆ และอีกประเด็นหนึ่งที่หนังใช้เป็นกลไกในการเล่าเรื่องอย่าง iPhone

ก็จะตามมาหลังจากหนังพ้นช่วงองก์แรกที่เคร็กเติบโตและได้เรียนไฮสคูลต่างโรงเรียน และ iPhone ก็กลายเป็นวิธีการสื่อสารที่เขาใช้แทนคำพูดแต่ยิ่งเขาพูดน้อยลงก็เริ่มรู้สึกได้ถึงภาวะไร้อำนาจโดยเฉพาะการต้องมาเจอบูลลี่จากเพื่อนร่วมชั้นนั่นเอง  รีวิวหนังระทึกขวัญ

3

และยังย้ำสารตรงนี้ด้วยคำพูดของคุณแฮริแกนอีกว่า สมาร์ตโฟนก็คือประตูสู่สิ่งเสพติดอื่น ๆ และยังเป็นท่อประปาที่ข้อมูลข่าวสารโดยเฉพาะเฟคนิวส์ที่จะไหลบ่าต่อไปในอนาคต ซึ่งตรงนี้ถือว่าความดีงามของนิยาย สตีเฟน คิง ได้ช่วยหนังมาถึง 50% แล้ว 

แต่กระนั้นเมื่อหนังต้องเข้าโหมดระทึกขวัญงานกำกับของแฮนค็อกกลับไม่ค่อยมีพลังเท่าที่ควร โดยเฉพาะการที่เคร็กได้พบความจริงจากอำนาจของมือถือคนตายที่เป็นจุดขายของหนังในศพแรก หนังก็เลือกจะทิ้งเบาะแสที่อุตส่าห์ไปเจอซะดื้อ ๆ

และเล่าเรื่องต่อโดยทิ้งปมเดิมให้ค้างคาซะงั้น แถมยังไปเล่าโทนดราม่าอบอุ่นเหมือนหนังครึ่งแรกจนผิดที่ผิดทางไปหมดอย่างน่าเสียดาย มิหนำซ้ำเมื่อหนังจะเปลี่ยนไปเป็นโทนที่ให้เคร็กดาร์กขึ้นก็ดูเร่งรีบเล่าเรื่องจนเหตุและผลดูตื้นเขินไปเสียหมด 

จุดที่พอจะเป็นข้อดีและต้องชื่นชมคงหนีไม่พ้นการแสดงของ เจเดน มาร์เทลล์ ที่เรียกได้ว่าคงเส้นคงวามาก ๆ จากไอ้หนุ่มหัดเมทัลใน ‘Metal Lords’ หนังดนตรีสุดมันใน Netflix มาสู่เคร็ก ไอ้หนุ่มแบกตราบาปใน ‘Mr. Harrigan’s Phone’ ได้เป็นอย่างดีเชื่อว่าอนาคตการแสดงไปได้อีกไกลแน่นอน 

Lorem ipsum dolor sit amet...

นี่คือผลงานล่าสุดของผู้กำกับที่มักจะได้ดีกับงานแนวดราม่าเสมอ ๆ อย่าง “จอห์น ลี แฮนค็อก” ที่ดูเหมือนว่าครั้งนี้น่าจะเป็นครั้งแรกที่เขาหันมาหยิบจับหนังดราม่าสยองขวัญดูบ้าง และเขาก็ได้หยิบเอาเรื่องสั้นของเจ้าพ่อนิยายสยอง สตีเฟ่น คิง มาละเลงและเขียนบทหนังเรื่องนี้ขึ้นมา โดยเป็นการหยิบโยงความสยองเข้ากับเทคโนโลยียุคแรก ๆ ได้อย่างน่าสนใจ 

 

เพียงแต่น่าเสียดายไปสักหน่อย เพราะว่า Mr. Harrigan’s Phone กลายเป็นหนังสยองขวัญที่ดำเนินเรื่องราวไปแบบขาดเสน่ห์ที่ควรจะมี ท่วงทำนองของหนังเรียบเรียงไปแบบค่อนข้างเนิบช้า มีลักษณะการผสมผสานของหนังแนว coming-of-age ที่สะท้อนเข้ากับสภาพสังคมของคนหนุ่มสาวเจนวายที่เติบโตมาทันในช่วงไอโฟนรุ่นแรก ๆ วางขาย 

4

บทหนังและการเล่าเรื่องของ Mr. Harrigan’s Phone ยังไม่ค่อยสัมผัสเข้าถึงใจผู้ชมได้สักเท่าไหร่ ด้วยความช้าในการเล่าเรื่องไปสักหน่อย หนังใช้เวลาผ่านไปเกือบครึ่งเรื่องกว่าจะค่อย ๆ เข้าสู่เรื่องราว แต่เมื่อเข้าสู่โครงเรื่องและเส้นเรื่องหลักแล้ว หนังก็ยังไม่สามารถขับเสน่ห์ออกมาได้ดีเท่าที่ควรอยู่ดี

เพราะเหมือนหนังยังสับสนว่าจะไปในทิศทางและโทนที่จะเป็นหนังสยองหรือหนังวัยรุ่น แม้ว่าจะยังคงบรรยากาศความหลอนไว้อยู่ตลอดเวลา แต่ยังไร้ซึ่งความน่ากลัว 

แน่นอนว่า “เจเดน มาร์เทลล์” ยังคงเป็นนักแสดงหนุ่มเจนใหม่ของวงการที่มีฝีมือการแสดงที่จัดจ้านไม่น้อย และเขาก็คือนักแสดงที่เล่นแนวดราม่าได้ถนัดมือทีเดียว หนังเรื่องนี้ก็ถือว่าเป็นอีกลู่ทางที่ให้เขาได้ฉายแสง

แต่ก็รู้สึกน่าเสียดายอีกครั้ง เพราะว่าบทบาทของเขาที่ได้รับในหนังเรื่องนี้ก็แทบจะไม่ได้แตกต่างไปจากหนังวัยไฮสคูลเรื่องก่อน ๆ ที่เขาเคยถ่ายทอดเอาไว้สักเท่าไหร่ 

กลับกลายเป็นว่า เจเดน มาร์เทลล์ ยังค่อนข้างติดภาพคาแรกเตอร์เด็กนักเรียนแบบเดิม ๆ ที่ภาพจำเหล่านี้กลายเป็นสิ่งที่เขากำลังพยายามจะสลัดคราบให้ออก

แต่ดูเหมือนว่าจะติดแน่นหนากับตัวเขาไม่น้อย แม้จะพยายามไต่ระดับการเติบโตในคาแรกเตอร์มากแค่ไหนแล้วก็ตาม ก็พบว่าภาพของเขาก็ยังคงเป็นเด็กหนุ่มวัยรุ่นคนนั้นอยู่ 

รายละเอียดของหนัง

นอกจากนี้อีกหนึ่งความดีงามของเรื่อง Mr. Harrigan’s Phone ก็คือบทภาพยนตร์ที่ถูกดัดแปลงมาจาก King If It Bleeds นิยายชุดล่าสุดของเจ้าพ่อนิยายเขย่าขวัญอย่าง “สตีเฟ่น คิง” (Stephen King) ที่ถูกตีพิมพ์ไว้เมื่อปี พ.ศ. 2563

ทั้งยังได้นักแสดงดังอย่าง “เจเดน มาร์เทลล์” (Jaeden Martell) ที่เคยรับบทเป็น บิล เดนโบรห์ (Bill Denbrough) ในเรื่อง IT อิท โผล่จากนรก มาเล่นเป็นตัวละครหลักในเรื่อง 

เท่านั้นยังไม่พอ สำหรับนักแสดงหลักอีกหนึ่งคนในเรื่องก็ได้รุ่นใหญ่อย่าง “โดนัลด์ ซัทเธอร์แลนด์” (Donald Sutherland) เจ้าของบทบาท ประธานาธิบดีสโนว์ (President Snow) จากเรื่อง The Hunger Games เกมล่าเกม มาร่วมสมทบในกองถ่ายอีกด้วย เรียกได้ว่าเป็นปะทะกันระหว่างนักแสดง 2 เจนเลยทีเดียว 

5

และด้วยธีมหนังประกอบกับนวนิยายต้นฉบับจากนักเขียนเรื่องสยองขวัญระดับเซียนอย่าง “สตีเฟ่น คิง” ก็ยิ่งทำให้ผู้ชมต่างก็คาดหวังกับความหลอนแบบขนพองสยองเกล้ากันอย่างเต็มที่ แต่เมื่อรับชมจบแล้วกลับไม่ได้อะไรอย่างที่หวังแม้แต่นิดเดียว จึงทำให้ Mr. Harrigan’s Phone ถูกวิจารณ์แบบยับเยิน และได้คะแนนไปเพียง 6.1/10 จากเว็บ IMDb 

ถือว่าเป็นภาพยนตร์สยองขวัญยอดแย่รับฮาโลวีนปี 2022 และอาจกลายเป็นตราบาปติดตัวผู้กำกับอย่าง จอห์น ลี แฮนค็อก ไปตลอดชีวิตเลยก็ว่าได้ แต่ถ้าใครต้องการทดสอบว่าหนังเรื่องนี้แย่จริงอย่างที่หลายคนรีวิวไหม  

รีวิว Mr. Harrigan's Phone ความรู้สึกหลังดู

ตามเส้นเรื่องของหนังที่สร้างจากหนังสือของสตีเฟ่น คิง แล้วได้ผู้กำกับฝีมือกลางๆมากำกับหรือตัดต่อ ตอนแรกที่เข้าไปดูเพราะคิดว่าพลอตเรื่องแปลก แต่พอดูไปสักพัก กลับรู้สึกเบื่อมาก หวิดหลับไปหลายรอบ แต่ในตอนจบกลับแสดงความหมายของหนังที่ดี  

6

และเหมือนเป็นการบอกคนดูนัยๆโดยผู้กำกับและทีมงานตัดต่อว่าคนเราจะต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป และไม่ควรยุ่งเกี่ยวกับคนตาย หรือคนที่จากเราไปแล้ว ไม่ว่าความจริงจะเป็นยังไง และเราจะรู้สึกเจ็บปวดมากแค่ไหน เราทำได้แค่เก็บด้านดีๆของเขาไว้ในใจและใช้ชีวิตอยู่ต่อไป 

สรุปโดยภาพรวม

หนังยังมีดาราอาวุโสรุ่นใหญ่ “โดนัลด์ ซูทเทอร์แลนด์” มาร่วมสมทบด้วย แน่นอนว่าเขาคือมืออาชีพที่ให้การแสดงในลักษณะน้อยแต่มาก การปรากฏตัวของเขาหนังก็ถือว่าเป็นหนึ่งองค์ประกอบที่เพิ่มความทรงพลังให้อยู่ไม่น้อย แต่กระนั้นบทบาทของเขาก็แทบจะไม่ได้โดดเด่นอะไรเท่าไหร่ มาเพียงแค่เสริมและเป็นสารตั้งต้นของเรื่องราวทั้งหมดก็เพียงแค่นั้น 

อาจจะกล่าวได้ว่า Mr. Harrigan’s Phone ไม่ใช่หนังผีหวือหวาเปลืองซีนแบบที่เราคุ้นชินกับงานเขียนของ สตีเฟน คิง แต่เรื่องนี้เป็นหนังสยองขวัญที่ปะปนเข้ากับปมดราม่าและทับซ้อนเข้ากับหลักการเชิงจิตวิทยาเบา ๆ มีลูกเล่นผสมใส่เข้ากับความลับและความเหงาของความเป็นมนุษย์ ลึกเข้าไปในแก่นความคิดและจิตใต้สำนึกของคน ที่อาจจะลึกเกินไปหน่อย เกินไปกว่าที่คนดูจะซึบซับและเข้าใจได้ถ่องแท้ 

7

เอาเป็นว่าโดยสรุปแล้ว Mr. Harrigan’s Phone เป็นหนังดราม่าสะท้อนจิตใจเด็กหนุ่มคนหนึ่งมากกว่าที่จะเป็นหนังสยองขวัญ เอาจริง ๆ หนังก็มีชั้นเชิงในเรื่องราวอยู่ไม่น้อย เพียงแต่ค่อนข้างเป็นโจทย์ที่ยากอยู่สักหน่อย

หากต้องการจะสื่อสารออกมาเป็นภาพและเสียงให้คนดูได้เข้าใจและสัมผัสได้อย่างถ่องแท้ สไตล์การเล่าเรื่องที่ดูไม่มีจุดเด่นและแก่นที่ชัดเจน กลับบั่นทอนหนังไปอย่างน่าเสียดาย เพราะสุดท้ายแล้วชั่วโมงเศษ ๆ ที่นั่งดูมานั้น กลับไม่มีอะไรให้น่าจดจำได้เลย 

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *