รีวิว Dahmer
ปล่อยตัวออกมาแล้ว 1 ซีซั่น 10 ตอน ตอนละ 46-54 นาที ความยาวหนังซีรีส์ตอนละประมาณหนึ่งชั่วโมงกำกับโดยผู้กำกับ Ian Brennan, Ryan Murphy. With Evan Peters, Khetphet Phagnasay, Michael Learned, Karen Malina White และนำแสดงโดยอีแวน ปีเตอร์ส นักแสดงชายผู้ชนะรางวัล Primetime Emmy Award สามารถรับชมได้แล้วทางช่อง ดูหนังออนไลน์ฟรี
คดีดังกล่าวได้รับความสนใจจากคนทั่วโลกจนถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ในหลายครั้ง จนกระทั่งในปี 2565 นักเขียนบทชื่อดัง ไรอัน เมอร์ฟี่ ได้มาถ่ายทอดเทคนิคการเล่าเรื่องของเหตุฆาตกรรมของฆาตกรต่อเนื่องได้อย่างมีสุนทรียภาพบน DAHMER – Monster: The Jeffrey Dahmer Story (ปีศาจ: เจฟฟรี่ย์ ดาห์เมอร์) ฉายบนช่องทาง Netflix
ผูกปิ่นโตกันอย่างต่อเนื่องสำหรับ ไรอัน เมอร์ฟีย์ (Ryan Murphy) และทางเน็ตฟลิกซ์ (Netflix) ซึ่งในฐานะโชว์รันเนอร์มือวางอันดับหนึ่งด้านซีรีส์ระทึกขวัญแล้ว การหยิบจับเรื่องราวของ เจฟฟรีย์ ดาห์เมอร์ (Jeffrey Dahmer) มาทำเป็นซีรีส์คราวนี้ย่อมต้องไม่ธรรมดา และแม้จะไม่ใช่ครั้งแรกที่เรื่องราวของดาห์เมอร์ถูกบอกเล่าบนจอ แต่เชื่อเถอะว่าซีรีส์ฉบับนี้มีความน่าสนใจอยู่ในน้อยเลยทีเดียว
รีวิว Dahmer พล็อตเรื่อง
ก่อนที่เราจะไปท่องโลกซีรีส์อาชญากรรมที่สร้างจากเรื่องจริงนั้น โมมิน อยากจะบอกว่าเรื่องนี้ไม่เหมาะกับคนที่อ่อนไหวทางด้านอวัยวะหรือการบริโภคเนื้อมนุษย์ เนื้อหามีความรุนแรงและมีความน่าสยดสยองของภาพ ชวนคนดูมวนท้อง มีแนวคิดที่ผิดแปลกจากคนทั่วไป แม้ในตัวซีรีส์จะไม่ได้มีฉากประเภทที่กล่าวมานั้นไม่ได้มีมากนัก เพราะซีรีส์เน้นหนักไปที่กระบวนการสืบสวนที่ไม่ยุติธรรมต่อญาติของเหยื่อและผลกระทบทางสังคม ตั้งคำถามต่อการกระทำของคนบางกลุ่ม
ซีรีส์จะตัดสลับเหตุการณ์โดยเริ่มจากเหยื่อรายสุดท้ายที่ทำให้ดาห์เมอร์ถูกจับกุมตัวและมันจะย้อนกลับไปเล่าที่มาที่ไปของชีวิตฆาตกรต่อเนื่อง เริ่มจากชีวิตครอบครัวที่ไม่สมบูรณ์ไปจนถึงการเสพติดการชำแหละชิ้นส่วนร่างกายของหมูในคาบวิทยาศาสตร์ รวมรีวิวหนังระทึกขวัญ
สมัยเรียนมัธยมที่กลายเป็นบ่อเกิดของคดีฆาตกรรมกินเนื้อคนและทารุณกรรมทางเพศถึง 17ศพซึ่งเหยื่อส่วนใหญ่คือเด็กหนุ่มที่เป็นเกย์สร้างคดีสะเทือนขวัญตลอดระยะเวลาถึง13 ปี
สิ่งที่โดดเด่นที่สุดสำหรับการเล่าเรื่องของ ‘Dahmer’ คงหนีไม่พ้นเทคนิคการเล่าเรื่องแบบ สโลว์เบิร์น (Slowburn) ซี่งเป็นการเล่าเรื่องที่เน้นเก็บรายละเอียดให้คนดูได้ซึมซับอารมณ์และมโนสำนึกของฆาตกรแบบแทบจะได้นั่งคุยไหล่ชนไหล่กับดาห์เมอร์เลยด้วยซ้ำ
บทหนังลึกถึงขั้นเจาะไปที่ชีวิตครอบครัวที่ก่อนตัวดาห์เมอร์จะเกิดเองเราก็สังเกตได้ถึงความผิดปกติของผู้เป็นแม่แล้ว และยังพาเราไปรู้จักวัยเด็กของดาห์เมอร์ที่เต็มไปด้วยมิตรภาพพ่อลูกที่ผูกพันกันด้วยการชำแหละซากสัตว์
ในช่วงเวลา 13 ปีตั้งแต่ค.ศ. 1978 – 1991 นั้นเจฟได้ฆาตกรรม เป็นช่วงเวลาที่สังคมต่างหวาดกลัวและเฝ้าคอยบุคคลที่หายสาปสูญ ณ ขณะนั้น ซีรีส์ก็ได้ถ่ายทอดเรื่องราวได้อย่างเยี่ยมยอด ขยายอารมณ์คนดู ที่เล่าความน่าสะอิดสะเอียน ชวนมวนท้องที่ได้รับการส่งเสริมอย่างดีจากการเล่าเรื่ององค์ประกอบฉาก พฤติกรรมตัวละคร รีวิวซีรี่ย์หนังสยอง
เรียกได้ว่าเป็นซีรีส์ที่ใช้เวลาในการดูพอสมควร เพราะอารมณ์ที่รุนแรงจากซีรีส์ ทั้งเรื่องประเด็นครอบครัว สังคมที่ได้รับผลกระทบจากคดีฆาตกรรม ส่วนตัวชอบที่ซีรีส์หยิบยกเรื่องหลังการจับฆาตกรได้มาเล่าว่าสุดท้าย ผู้คนที่ได้เข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องราวเหล่านี่นั้นล้วนได้รับผลกระทบไม่มากก็น้อย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องร่างกายหรือจิตใจ สุดท้ายแล้วเรื่องที่เจฟฟรีย์กระทำก็จะคอยย้ำเตือนผู้คนในสังคม และหลอกหลอนครอบครัวของเหยื่อ
คนบริสุทธิ์ทั้ง 17 คนที่ถูกฆาตกรรม ล้วนมีหลากหลายทางด้านเชื้อชาติทั้ง คนดำ เอเชีย ชนพื้นเมืองชาวอเมริกันส่วนนี้เองเป็นภาพรวมของทั้งเรื่อง แสดงให้เราเห็นเลยว่ามีการเหยียดเชื้อชาติมากแค่ไหน การทำงานที่แสนน่าเกลียดของบุคคลที่เรียกตนเองว่าเป็นกระบวนการยุติธรรม
ประเด็นการถูกเลือกปฏิบัติของครอบครัวเหยื่อจากตำรวจ ซีรีส์นำเอาประเด็นเหล่านี้มาพูดถึงเพื่อให้เห็นถึงปัญหา ทั้งในมุมของการสืบสวน การทำงานสายตรวจ หรือแม้กระทั้งกระบวนการยุติธรรมในชั้้นศาล การถูกเลือกปฏิบัติยังเป็นอีกแง่ของปัญหาของตัวซีรีส์นำเสนอออกมาให้เห็นว่า การกระทำเช่นนี้นั้นนำสู่การจับตัวฆาตกรได้ยากขึ้นเพราะคำพูดของพยานคนดำนั้น เป็นคำกล่าวเหมือนดั่งขนนก ที่บางเบา
รีวิว Dahmer ความรู้สึกหลังดู
อีกหนึ่งผลงานที่น่าจับตามองของอีแวน ปีเตอร์ส รู้สึกได้ถึงความนิ่ง ความโปรในการแสดงเลย แสง สี โทนมู้ดของเรื่องมีการใช้สีมืดๆทึมๆ คงบรรยากาศลึกลับโหดๆหน่อย หนังมีการใส่ประเด็นยิบย่อยมากๆทั้งปัญหาในระบบเชิงโครงสร้าง ความล้มเหลวในการทำงานของตำรวจปี 1991
ซึ่งสำหรับเรื่องบทนอกจากต้องชมเมอร์ฟีย์ที่มาร่วมเขียนบทแล้ว เอียน เบรนแนน (Ian Brennan) มือเขียนบทขาประจำของเมอร์ฟีย์ก็ได้โชว์ความจัดเจนในการผสมผสานข้อมูลจริงกับเรื่องแต่งได้อย่างกลมกล่อม และโดยเฉพาะการใช้คลิปเสียงการแจ้งความที่ทำให้เห็นความละหลวม
ของตำรวจก็ช่วยทำให้บรรยากาศความไม่น่าไว้วางใจและชะตากรรมอันน่าสงสารของเหยื่อถูกเอามาวิพากษ์ในแง่ของความไร้ประสิทธิภาพของผู้บังคับใช้กฎหมายได้อย่างเห็นภาพอีกด้วยหนังเล่าเรื่องราวละเอียดมากๆสะท้อนความเป็นจริงของการเป็นเกย์ในสังคม
และสังคมของการเหยียดเพศที่ไม่ยอมรับเพศที่สามในประเทศสหรัฐอเมริกาที่เกิดขึ้นในยุคสมัยนั้น ที่เรามองเห็นความคิดทั้งในเลนมองของเหยื่อและในมุมมองของฆาตกรเสมือนเรากำลังรับชมสารคดีกึ่งหนังในเรื่องรางของเจฟฟีย์ ดาห์เมอร์ ฆาตกรสุดโหดที่ฆ่าคนแล้วลอยนวลมาได้ถึง 13 ปีเลย
และสำหรับนักแสดงที่ต้องชื่นชมที่สุดคงหนีไม่พ้น อีแวน ปีเตอร์ส์ (Evan Peters) ที่สวมบทบาท เจฟฟรีย์ ดาห์เมอร์ ได้อย่างน่าขนลุกขนพอง โดยปีเตอร์ส์ได้ทำให้บุคลิกที่ดูเฉยชาและดูปกติของดาห์เมอร์ ฉายแววอำมหิตออกมาได้ทุกครั้งที่ปรากฎตัว แต่ในขณะเดียวกันในซีนดราม่าเขาก็สามารถแสดงด้านที่เป็นมนุษย์มีอ่อนแอ มีเจ็บปวดของดาห์เมอร์ออกมาได้อย่างยอดเยี่ยมไม่แพ้กันเลย
ชื่นชมการแสดงของนักแสดงระดับแนวหน้า อีวาน ปีเตอร์ส (Evan Peters) นับว่าเป็นที่น่าจับตามองจากซีรีส์ DAHMER – Monster: The Jeffrey Dahmer Story ในบทเจฟฟรี่ย์ ดาห์เมอร์ที่สามารถเก็บเงียบ ความรู้สึกนึกคิดของตนเองได้อย่างแนบเนียน รวมถึงการแสดงอารมณ์ผ่านวัจนภาษาในรูปแบบต่าง ๆ ก็บ่งบอกถึงเหตุผลที่ว่า ทำไมเจฟฟรี่ย์ถึงเป็นฆาตกรลอยนวลมากกว่า 10 ปีได้
บทของซีรีส์ ดาห์เมอร์ 2565 สร้างความสมจริงในเหตุการณ์ฆาตกรรมได้อย่างลงตัว การวางมาตรฐานของเหยื่อที่ต้องถูกคร่าชีวิตด้วยเจฟฟรี่ย์ ดาห์เมอร์เป็นกลุ่มรักร่วมเพศผิวสี หรือเกย์ผิวสี ยิ่งตอกย้ำความเหยียดเพศและผิวสีจากคนผิวขาว ผมบลอนด์ได้เป็นอย่างดี
ซึ่งเหยื่อส่วนใหญ่ของเขาก็มีแต่เกย์ผิวสี ฉากที่ผู้เขียนชอบที่สุดคือฉากที่ชาวเกย์เจอกันใน Disco ก่อนที่เสียงเพลงจะตัดไปสู่ความเงียบ และผู้ชายสองคนคุยกันผ่าน Body Language แทนเหมือนเป็นการเสียดสีสังคมว่าความรักของเกย์เป็นเรื่องที่ไม่มีตัวตน และต้องทำตัวเงียบๆ ไร้เสียง และไม่ถูกยอมรับในสังคม
ตอกย้ำคุณภาพของผู้กำกับและนักเขียนบทฝีมือฉมังอย่าง ไรอัน เมอร์ฟี่ ด้วยเทคนิคการจัดแสงและเงาที่มีความหม่น นิ่ง และเงียบ ราวกับต้องการให้ผู้ชมขวัญผวาด้วยเหตุฆาตกรรมที่อาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา รวมถึงรายละเอียดต่าง ๆ ที่แฝงไว้ในแต่ละตอนก็ทำเอาอยากดูซ้ำในหลาย ๆ รอบเหลือเกิน
ส่วนสุดท้ายที่อยากพูดถึงการดำเนินเรื่องของ DAHMER – Monster: The Jeffrey Dahmer Story ที่ค่อนข้างช้าตามสไตล์ของสารคดี ถือว่าเป็นข้อดีของดาห์เมอร์ฉบับ 2565 เพราะทำให้ผู้ชมสามารถมีอารมณ์กับซีรีส์ได้อย่างดี มีความรู้สึกเห็นใจในเหยื่อและคนรอบข้าง รวมถึงรับรู้เบื้องหลังของฆาตกรต่อเนื่อง แต่หากใครไม่ชื่นชมซีรีส์แนว ๆ นี้อาจจะผล็อยหลับไปได้ง่ายเลย
แบบที่ดูฉากนี้แล้วคนดูแบบผู้เขียนอึดอัดแทน จริงๆหนังกึ่งสารคดีเรื่องนี้ก็เหมาะกับสาววายชายรักชายประมาณหนึ่งนะจะได้ตระหนักถึงสิทธิ์และความเท่าเทียมของกลุ่มเพศทางเลือกและคนที่มีความหลากหลายทางเพศด้วย โดยวางคาแรทเตอร์ตัวละครเป็นตัวละครที่หูหนวก และในมุมที่เจฟฟ์คุยกับพ่อแม่ของเขา ดูแล้วแอบสงสารชีวิตของฆาตกรต่อเนื่องคนนี้เลย
ในเรื่องการจัดแสงและเงาค่อนข้างดี คุณภาพงานรูปในหนังซีรีส์ความอาร์ท ความงานศิลป์ ความสวยงามของภาพค่อนข้างลงตัวเลย หนังมันโทนนิ่งและเงียบมากเลย แต่สนุก การดำเนินเนื้อเรื่องมีเหตุมีผล รายละเอียดในเรื่องยิบย่อยมาก จนดูซ้ำอีกรอบก็เก็บไม่หมด การแสดงของนักแสดง อีแวน ปีเตอร์ส คือดี ดีมากๆ
แถมการทำงานในชั้นศาลของยุคสมัยนั้นก็ค่อนข้างหละหลวมมีการเสียดสีการทำงานของตำรวจที่ดำเนินการเรื่องราว ค่อนข้างช้า ช้าชนิดที่ว่ามีคนตายอยู่ตรงหน้าก็ไม่ส่งคนเข้ามา อีกทั้งสารคดีกึ่งๆหนังเรื่องนี้ยังเปิดเผยมุมมองและความคิดเห็นของเหยื่อ ความสูญเสียและความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นในครอบครัวของเหยื่อแบบชัดเจนไปเลยไม่ได้ wornship การกระทำของฆาตกรต่อเนื่องสุดโหดเรื่องนี้แล้วข้ามประเด็นความรู้สึกของเหยื่อและครอบครัวของเหยื่อเหมือนหนังซีรีส์เรื่องอื่น ใครไม่ชอบการเล่าเรื่องแบบโทนหนังเงียบอาจจะเบื่อ ง่วงนอนและอยากหลับได้