รีวิวหนัง ดิ​ โอลด์ การ์ด

รีวิวหนัง ดิ​ โอลด์ การ์ด

กองทัพคงกระพันพิทักษ์โลก เรื่องราวของทีมทหาร เป็นอัมตะรวมตัวกันเพื่อปกป้องโลก แต่กลับถูกตามล่าโดยบริษัทยาแห่งหนึ่ง ติดตามรับชมกันได้เลยที่ ดูหนังออนไลน์

การรับชมหนังผ่านทางระบบสตรีมมิ่งนั้น ผู้ชมเลือกอุปกรณ์ได้ตามสะดวกนะครับ ไม่ว่าจะบนทีวี มือถือ หรือแล็ปท็อป แต่เอาเขาจริง สำหรับผมแล้ว นิยมชมชอบการรับชมผ่านทางสมาร์ททีวีมากที่สุด ด้วยความที่มันแยกจากมือถือออกมาชัดเจน และถ้าตัดมือถือออกห่างตัวไป เราก็จะรับอรรถรสจากหนังได้เต็มที่ ที่พูดเกริ่นมานี่ไม่เกี่ยวอะไรกับหนังวันนี้เท่าไหร่หรอกครับ แค่จะบอกว่าวันนี้ ผมมีหนังเรื่องใหม่ในบริการ Netflix มารีวิวให้อ่านกัน หนังเรื่องนั้นชื่อ ‘The Old Guard’ ครับ

หนังเรื่องนี้ ได้นางเอก น่ารักชื่อ Charlize Theron และได้มีพระเอกหล่อมา ร่วมประกบกลายเป็นทีมเล็กๆ ที่มีภารกิจยิ่งใหญ่ นอกจากจะมีฉายออนไลน์บน Netflix แล้ว หนังเรื่องยังมีผู้กำกับเป็นหญิง นามว่า Gina Prince-Bythewood เจ้าของผลงาน Love & Basketball และ The Secret Life of Bees ด้วยนะครับ กดลิงค์เข้าดูกันได้เลย  ดูหนังฟรี

รีวิวหนัง ดิ​ โอลด์ การ์ด

รีวิวหนัง ดิ โอลด์ การ์ด มาสเตอร์

หนังเรื่องนี้พาเราไปรู้จักกับทีมซูเปอร์ฮีโร่ที่เราไม่เคยรู้ถึงการมีของพวกเขามาก่อน การที่พวกเขามีพลังฟื้นฟูตัวเองทำให้ตายแล้วฟื้นใหม่ได้หลายหน แน่นอนว่า พวกเขาก็คงต้องอยู่บนโลกนี้มาอย่างยาวนาน และหนังก็พยายามจะตั้งคำถามต่อคนดูอยู่เป็นระยะว่า โลกสร้างพวกเขาขึ้นมาทำไม

รีวิวหนัง ดิ​ โอลด์ การ์ด

เรื่องย่อหนัง รีวิวหนัง ดิ โอลด์ การ์ด

ภาพยนตร์เรื่องนี้ เรียกชื่อ ไทย ว่า ดิ​ โอลด์ การ์ด หนัง ได้บอกเล่า ของทีมทหาร ทีมีแค่ 4คน  อันประกอบไปด้วย แอนดี้ (Charlize Theron จากหนัง ‘Atomic Blonde’ และ ‘Mad Max: Fury Road’)​ หญิงสาวผู้นำทีมที่มีอายุยืนยาวที่สุด, บุคเกอร์ (Matthias Schoenaerts จาก ‘A Hidden Life’ และ ‘The Danish Girl’) ชายชาวฝรั่งเศสที่เคยเป็นทหารของนโปเลียน, โจ (Marwan Kenzari จาก ‘Aladdin’ กับ ‘What Happened to Monday’) และนิกกี้ (Luca Marinelli) สองคนที่เคยเป็นฝ่ายตรงข้ามกันมาก่อนในสงครามครูเสดก่อนจะกลายมาเป็นคู่ชีวิตของกันและกัน

พวกเขามีความพิเศษเหนือมนุษย์นั่นคือ พลังในการรักษาตัวเอง แม้จะโดนยิงจนเสียชีวิตไปแต่พวกเขาก็จะฟื้นกลับมามีชีวิตใหม่ กระสุนที่เคยฝังอยู่ก็ถูกเด้งออกมา แผลหายสนิทราวกับไม่เคยมีถูกกระสุนเจาะเลือดเนื้อมาก่อน พวกเขารวมตัวกันด้วยพลังที่เหมือนกัน อยู่อาศัยบนโลกมานานแต่ต้องซุกซ่อนตัวไม่อยู่ในสังคม รับงานเบื้องหลังอย่างช่วยชีวิตตัวประกันอะไรพวกนี้

แต่การดำเนินชีวิตประจำวันของพวกเขา กำลังเปลี่ยนแปลงเมื่อมีบริษัทยาแห่งหนึ่งที่นำโดยมิสเตอร์วอร์ริก (Harry Melling ดัดลีย์ เดอร์ลีย์จากหนังเรื่อง ‘Harry Potter and the Deathly Hallows: Part 1’) ต้องการนำตัวพวกเขาทั้งทีมมาทดลองผ่านเอเยนต์อย่าง โคเปลย์ (Chiwetel Ejiofor มอร์โดจากหนังเรื่อง Doctor Strange) แต่ในช่วงเวลานั้นทีมได้พบสมาชิกคนใหม่ เธอคือ ไนล์ (KiKi Layne จากหนังเรื่อง ‘If Beale Street Could Talk’) เป็นทหารผู้หญิงที่เข้ามารับหน้าที่ ในอัฟกานิสถานก่อนจะรู้ตัวว่ามีพลังฟื้นฟูตัวเองดังกล่าว เมื่อพวกเขาบางคนถูกจับตัวไปได้ ที่เหลือก็มีภารกิจต้องชิงเพื่อนร่วมทีมคืนกันละ

หนังแอคชั่นที่ค่อยๆ เข้มข้นขึ้นตามเวลาของหนัง

เอาจริงๆ ในความรู้สึกผม กับการดูหนังแอคชั่นบนจอทีวีในระบบสตรีมมิ่งนี่มันไม่ได้ชักชวนให้รู้สึกตื่นตาหัวใจเต้นระรัวอย่างที่รู้สึกในโรงภาพยนตร์นะ แต่มันการรับชมภาพยนตร์ที่สามารถหยุดพักไปห้องน้ำ เปิดอ่านมือถือ หรือเอาของไปเก็บได้อยู่เป็นพักๆ ทำให้เราไม่ได้โฟกัสเต็มที่กับหนังเท่ากับการอยู่ในโรงจริงๆ หรอก

สำหรับ หนังเรื่องนี้นะ ผมมองว่ามันเป็นหนังที่ค่อนข้างมีพาร์ทดราม่าค่อนข้างเยอะนะ ซึ่งมันก็เป็นช่วงของการเล่าเรื่องที่ทำให้เราเข้าใจที่มาและเบื้องหลังของพวกเขามากขึ้นเรื่อยๆ นั่นแหละ ทำให้เราได้รู้ว่า พวกเขามีมาแต่ยุคไหน มีเรื่องราวอะไรที่เกิดขึ้นก่อนหน้านั้นบ้าง มีปมอะไรในใจของแต่ละคนมั้ย อะไรอย่างนี้…

เพราะฉะนั้นช่วงครึ่งแรกของหนังจะวนอยู่กับการพูดคุยและเล่าเรื่องเสียเยอะ ก่อนที่จะเริ่มเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ กับฉากการต่อสู้ที่ใช้สตันท์น้อยเน้นเล่นจริง และเมื่อมันเป็นหนังที่ยิงกันเลือดสาด มันก็เป็นธรรมดาที่หนังจะได้เรท R หนังดัดแปลงและสร้างขึ้นจากนิยายภาพที่เขียนโดย Greg Rucka วาดโดย Leandro Fernandez และลงสีโดย Daniela Miwa หนังกำกับโดย  Gina Prince-Bythewood เธอเป็นผู้กำกับหญิงผิวสีคนแรกที่กำกับหนังไลฟ์แอคชั่นที่ดัดแปลงจากคอมิค

เรื่องราวที่พลิกผันได้เรื่อยๆ แม้ไม่หวือหวาแต่ก็พอจะทำให้หนังเรื่องนี้ดูสนุกได้อยู่ ไม่ว่าจะเป็นการได้รู้ว่าแอนดี้ที่มีชื่อเต็มๆ ว่า ‘Andromache’ เธอคือดิโอลด์การ์ดที่แก่ที่สุด เธอจึงสั่งสมประสบการณ์ในเชิงการต่อสู้ไว้มากที่สุด ทว่าเธอกำลังเผชิญบางสิ่งที่เธอไม่เคยต้องเผชิญมาก่อน ชาริส เธอรอน ยังคงเท่ไม่ต่างจากที่เคยเห็นใน Mad Max: Fury Road ผมอาจดูยาวขึ้นแต่ก็ยังเป็นทรงสั้นอยู่ ลีลาพะบู๊ยังคงได้ใจเหมือนเดิม

หรือจะเป็นการที่คนหนึ่งในทีมเริ่มทำตัวแปลกแยก รวมทั้งความคิดที่แตกต่างไปของคนใหม่ในทีม ทั้งหลายแหล่ทำให้เรื่องมันดำเนินไปในทางที่เราไม่คาดคิดแต่ก็มีบางอย่างที่เราคาดเดาได้ว่าอะไรจะเกิดตามมา

ซูเปอร์ฮีโร่ยังคงถูกตามล่า รีวิวหนัง ดิ โอลด์ การ์ด

ประเด็นที่ยังคงใช้อยู่ในบรรดาหนังซูเปอร์ฮีโร่ก็คงจะเป็นเรื่องของความแปลกแยกจากผู้คน เมื่อพวกเขามีพลังที่ไม่เหมือนคนทั่วไป ในอดีตมักถูกมองว่าเป็นพ่อมดแม่มดและต้องถูกกำจัด ขณะที่โลกในปัจจุบัน การสื่อสารและเทคโนโลยีทำให้พวกเขาหลบซ่อนตัวได้ยากขึ้น ขณะที่โลกของทุนนิยมก็อาจไม่ได้สนใจเรื่องมนุษยธรรมมากเท่าผลกำไรในธุรกิจ พวกเขาถูกไล่ล่าเพื่อเอาไปทำการทดลองและมองหาพลังฟื้นฟูให้กับมวลมนุษยชาติ

สุดท้ายแล้วพวกเขาคงต้องดิ้นรนช่วยเหลือกันเอง ทั้งยังต้องเผชิญกับความคิดที่แตกต่างอันเป็นธรรมดาของการทำงานเป็นทีม ดูจากตอนจบ เชื่อว่าหลายคนคงอยากจะดูภาคต่อกันแล้วล่ะ

รายละเอียดของหนัง

ภาพยนตร์เรื่อง: ดิ โอลด์ การ์ด / The Old Guard
ผู้กำกับภาพยนตร์:  Gina Prince-Bythewood
ผู้เขียนบทภาพยนตร์: Greg Rucka
นักแสดงนำ: Charlize Theron, KiKi Layne, Matthias Schoenaerts, Marwan Kenzari, Luca Marinelli, Chiwetel Ejiofor
ดนตรีประกอบ:
ความยาว: 125 นาที
ปี: 2020
แนว/ประเภท: Action, อาชญากรม ระทึกขวัญ
อัตราส่วนภาพ: 2.35 : 1
ประเทศ: สหรัฐอเมริกา
เรท: ไทย/-, MPAA/R
วันที่เข้าฉายในประเทศไทย: 10 กรกฎาคม 2020 ทาง Netflix
สตูดิโอ/ผู้สร้าง/ผู้จัดจำหน่าย: Denver and Delilah Productions, Dune Films, Image Comics

ดิ โอลด์ การ์ด

บทและพล็อต – 7

การแสดง – 7.1 เพลง/ดนตรีประกอบ – 7.3 การดำเนินเรื่อง – 7.6 งานภาพ – 7.6

7.3

The Old Guard

ผลงานการตัดแปลงมา กลายเป็นไลฟ์แอคชั่นระทึกขวัญ อาชญากรรม เรื่องราวของทีมทหารเก่งคงกระพันที่รวมตัวกันเพื่อปกป้องโลก แต่กลับถูกตามล่าโดยบริษัทยาแห่งหนึ่ง ภาคต้นของหนังที่กำกับโดยผู้หญิง ได้ทั้งแง่มุมดราม่าและแอคชั่นเผ็ดจัดเลือดสาด ถือว่าดูเอาสนุกได้อยู่

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *